เปิดหัวข้อมาตึงๆ แบบนี้แต่บอกเลยว่าเนื้อหาของเรานั้น ตึงเหมือนกัน🥶 ก็ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่ค่อยได้เขียนอะไรในเชิง Opinion บ่อยๆ เพราะว่ามันไม่ได้ยึดจากความจริงที่ใช้ได้กับทุกคน หรือสรุปอะไรไม่ค่อยได้ และมันอาจจะมีประโยชน์กับผู้อ่านหรือไม่มีเลยก็ได้ แต่เนื่องจากว่า ไหนๆผมก็เรียนโฆษณามาแล้วจึงอยากจะมาเล่าสู่กันฟัง ว่า โฆษณา เค้าสอนอะไรบ้าง (ผมเรียนหลักสูตร 2561 สำหรับน้องๆที่อ่านอาจไม่ได้เป็นแบบนี้แล้ว)
หมายเหตุ:
- เป็นความเห็นส่วนตัว (จริงๆ)
- ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย คณะ หลักสูตรด้วย เรียนที่อื่นอาจได้ฟีลที่แตกต่าง
- ขึ้นกับความชอบส่วนตัว ซึ่งผมก็ไม่ได้'ชอบ'หรือ'ไม่ชอบ'อะไรมากนัก
คำถามยอดฮิต
👉 เรียนง่ายมั้ย
ง่าย (และสบาย) กว่าคณะรอบข้าง ไม่เหมือนคณะประเภทที่เป็น Hard Skill อื่นๆ เช่น หมอ วิศวะ กฎหมาย โดยลักษณะของการเรียนโฆษณาต้องบอกว่า ไม่มีแก่นสารตายตัว
ถ้าลงลึกไปมากก็จะเป็นทฤษฎีการสื่อสารแทน ซึ่งไม่เหมือนกับสายวิทคอมมากนัก เป็นแค่การเอาสิ่งที่มีให้เห็นมานิยามและแยกประเภทเฉยๆ ทุกอย่างเป็นการใช้สถิติ
หรือความน่าจะเป็น เหมือนกับว่า ถ้าพบว่ามันเคยได้ผลมา 400 ครั้งจาก 500 ครั้ง ก็นำมาจัดเป็นความรู้ทางทฤษฎีการสื่อสารได้
ในความเห็นผมมองว่า ไม่สามารถนำมา implement ได้กับโจทย์ปัญหาในปัจจุบันได้มากนัก เหตุผลคือ สังคมมีสื่อที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ ทีวี แล้ว
เด็กตั้งแต่เกิดมาเล็กๆ รับสื่อที่ variant มากๆ และอาจบอกได้เลยว่าคุณไม่ทราบทั้งหมดหรอกว่าเด็กจะได้รับสารใดๆบ้าง
ให้นึกถึงเวลาเราไถลเฟซ 20 นาที เราได้รับโพสต์ที่แตกต่างกันไปแล้วไปกว่า 50-100 อัน ดังนั้น มันไม่มีทางปิดหมด หรือห้ามไม่ให้ได้รับสารบางประเภทได้
ดังนั้น ผมคิดว่า ทฤษฎีมันจะต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆแน่ๆ จากทฤษฎีเข็มฉีดยา ทฤษฎีการรับสารสองขั้น หรืออะไรก็ตามแต่ มันน่าจะมีขึ้นเรื่อยๆ และใช้เฉพาะกลุ่มที่มีความเล็กลง
อีกตัวอย่างนึงที่ผมคิดได้ตอนนี้ ในการเรียนพื้นฐานการสื่อสารจะต้องมีเรื่อง SMCR (Model การสื่อสาร คือ Sender-Message-Channel-Reciever
) ผมว่าไปเรียน Protocol ทางการสื่อสารทางฝั่งวิทคอมน่าจะมีประโยชน์มากกว่า
เพราะคุณจะเข้าใจอย่างแท้จริง ตั้งแต่เหตุผลของการมีอยู่ ความเป็นจริงของการสื่อสาร ฯลฯ
จริงๆมันก็แตกต่างแหละระหว่าง SMCR ในฝั่งคณะสื่อสารกับฝั่งวิทคอม (เดี๋ยวหาว่าใจร้ายเกินไป)
ในฝั่งสื่อสารจะเรียนเกี่ยวกับ Context on Data มากกว่า เช่นพวกการตีความ ทัศนคติผ่านข้อความ สัญญะ หรือใดๆ ส่วนฝั่งวิทคอมเรียนเกี่ยวกับ What and How ทาง Technical ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียนอันไหนก็ย่อมได้ที่สิ่งนี้จะเพิ่มพูนปัญญาขึ้นมา
แต่อย่าลืมว่าเรายังมีหลักสูตร การตลาด อีกอันนึงที่ให้ความรู้สึกหลักสุตรมันเหลื่อมกันมากๆ
♟️ 'โฆษณา' แตกต่างจาก 'การตลาด' ยังไงบ้าง
ตอบตามหลักการ
โฆษณาอยู่ใน subset ของการตลาดตรง 4P ใน P Promotion ดังนั้น การตลาดจะเรียน overall marketing ในเชิงธุรกิจทั้งหมด แต่โฆษณาจะไปเจาะลึกแค่ส่วนโฆษณาที่อยู่ในส่วนนี้
ความเป็นจริง
โฆษณา เรียนทุกอย่าง แต่ย้ำว่า อย่างผิวเผิน คือง่ายๆว่าเรียนการตลาดด้วยทั้งเรื่อง Customer Behavior หรือจะเป็นไปแตะการตลาดพื้นฐานเรื่องนู้นเรื่องนี้ + เรียนจิตวิทยาด้วยนิดหน่อย และอื่นๆจะเป็นการเรียนเกี่ยวกับตำแหน่งในการทำงานโฆษณา คำเรียกในงาน การทำงาน หน้าที่ บทบาท ที่แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะเลือกไปทำงานอะไรต่อ ก็จะทดลองดูความชอบของตนเองจากแต่ละงานที่ได้ทำ ส่วนการตลาดผมไม่ได้เรียนทั้งหมดเรียนแค่ตัวพื้นฐานซึ่งจะเป็นการเรียนการตลาดทุกเรื่องแบบโดยรวมโดยยังไม่ได้ลงรายละเอียดมาก แต่ก็ค่อนข้างได้คอนเซปต์ในแต่ละเรื่อง ส่วนในวิชาการตลาดในเลเวลที่สูงขึ้นไปก็จะเจาะลึกแต่ละตัว เช่น Product ก็เจาะลงไปเป็นคอร์สนึงเลย และอื่นๆก็ด้วย
ดังนั้น หากคุณสนใจจะทำ brand หรือ product อะไรซักอย่าง แปลว่าคุณต้องไปฝั่ง marketing แล้วเพราะคุณจะไปงวดอยู่กับ Product อันนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าโฆษณาคือคุณพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับ Product จำนวนมากมาย ตั้งแต่ลูกอม ยัน เรือรบ (แต่ต้องมาจ้างนะ)
🎨 'โฆษณา' เรียนอะไร
เรียนอะไรคงตอบไปแล้วในข้อที่แล้ว แต่เรียนยังไง ก็จะเป็นงานกลุ่มที่ต้องระดมความคิดสร้างสรรค์ เป็นส่วนใหญ่ และถามว่า ในกิจกรรมที่ทำ เราทำถูกมั้ย ไม่มีใครทราบหรอกว่าตอนที่เรียน ได้คิดแคมเปญนั้นๆ มันถูกมากน้อยยังไง ได้แต่คิดว่าไอเดียนี้มันน่าจะเวิร์คตามหลักกามากมายที่ได้ใช้ จนกระทั่งแต่ละคนได้ไปฝึกงานจริงๆ เพราะการจะรู้เรื่องที่ลึกอย่างแท้จริง ต้องลองไปทำงานมาก่อน ก็จะได้เห็นว่า Project Management จริงๆเป็นยังไง และมีระบบการทำงานยังไง มี Standard ในแต่ละขั้นยังไง โดยในการทำงานโฆษณา หรือ เอเจนซี่ ก็จะมีหลายๆบัญชี หรือลูกค้าหลายเจ้าแบบ parallel และมี requirement ในการทำแคมเปญโฆษณาอะไรต่างๆตามแต่ละเจ้า ซึ่งในตอนเรียน เราไม่รู้หรอกว่าแบบไหนมันเวิร์คไม่เวิร์ค เพราะมันมักจะจบที่การ pitch แต่บอกเลยหลังจากนั้นยังมีแค่เราไม่เคยได้เรียน เพราะจะไปเรียน 0 จากการฝึกงาน
🤹♀️ คนแบบไหน? เรียนโฆษณาได้
คนแบบไหนก็มีพื้นที่ให้เรียนได้เสมอ ผมก็เคยอ่านนะเว็บที่เป็นแนะแนวการศึกษาว่าเด็กแบบนั้นเหมาะกับคณะแบบนี้ แต่จริงๆแล้วไม่ว่าคุณเป็นใครมา คุณเรียนได้หมด เพราะในโฆษณามีทั้งสายที่ใช้ทั้งการสื่อสาร (จบไปก็มักจะทำงาน AE) สายไอเดีย (ทำงาน Creative ต่างๆ) รวมถึงสายนักคำนวณและใช้เหตุผล ที่ทำงานกับตัวเลข (ทำงาน Media Plan) ใช่แล้วครับ ผมก็มาค้นพบว่าตัวเองคือคนประเภทที่ 3 เป็นส่วนใหญ่นี่แหละที่ชอบใช้ความคิดไปกับการคำนวณ จริงๆก็เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ถ้าอยากเรียนเกี่ยวกับโฆษณาจริงๆ อยากทำงานโฆษณา คุณก็เรียนได้ เพราะคุณจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่วงการขาดหาย เช่น ถ้าคุณหัวกฎหมาย คุณอาจจะเป็นนักโฆษณาฝ่ายจริยธรรม ถ้าคุณหัวศิลป์ อ่าวดีเลยกราฟิกยังขาดอยู่เยอะ ถ้าคุณหัวหมอ อ่าว อันนี้ไม่ดีละ เพื่อนเดือดร้อนกัน
👨🦳 ความคิดที่ได้จากการเรียนโฆษณา
"ทุกอย่างคือโฆษณา" ใช่ครับ ฟังดู cringe แต่ไม่ว่าผมจะมองไปทางไหน ผมเจอแต่โฆษณา ถามว่าผมชอบมั้ย ตอบเลยว่า ไม่ ทำไมเป็นงั้น ก็เพราะว่ามาถึงจุดนึงผมรู้สึกว่าโลกนี้มันวุ่นวายไปหมดกับการพยายาม ทำโฆษณาไปสู่ผู้รับสาร คือผมรู้สึกว่า product ที่ดี ถ้ามันดีจริงๆอะนะ แค่ทำ marketing ให้ถูกแค่นี้ ก็ไม่ต้องโฆษณาอะไรแล้ว แต่ถ้าทำ Product ออกมาครึ่งๆกลางๆ แล้วจะใช้โฆษณา ลงทุนไปซัก 100 ล้าน OK มันอาจเวิร์ค เพราะเค้าซื้อของในครั้งแรก แต่ผมบอกเลยว่า แค่ครั้งแรกเท่านั้น เพราะครั้งที่สอง อะไรที่ไม่ใช่ ไม่ถูกใจ โฆษณาก็ลาก่อน ดังนั้นมันเหมือนพยายามปั้นกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ กับ Product ที่แท้จริงมันไม่ได้มีอะไร มันอาจจะดูอลังการงานสร้างมากจากภายนอก แต่พอเดินเข้ามาเมฆนั้นไม่มีอะไรเลย มันก็จบได้
ดังนั้น ผมคิดว่า โฆษณามันเหมือนกับการพยายาม 'สร้างภาพ' อะไรซักอย่าง ถ้า product มันดี ก็ดีเลย เพราะมันคือการ boost ให้คนใช้ของดีจริงๆ แต่ถ้าไม่ มันก็เท่านั้น และอย่างที่ผมบอกไปว่า แม้ว่าจะไม่โฆษณาเลย แต่ product ดี + ทำการตลาดที่ถูกต้อง ธุรกิจนั้นจะโตอย่างยั่งยืนแน่นอน ลูกค้าที่ใช่จะเข้ามามากขึ้น และลูกค้าในปัจจุบันก็จะรักและพร้อมจะเป็นลูกค้าต่อไป เพราะอย่าลืมว่าโฆษณาเป็นต้นทุนทางธุรกิจอีกประการด้วย
🔎 แต่คุณอาจถามว่า แล้วทำไม brand ต้องทำโฆษณา?
- ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่ยังไม่เคยรู้จัก brand มาก่อน
- สร้างความแตกต่างกับ brand คู่แข่ง
และไม่ว่าจะเป็นสร้าง engagement ทำ CSR ทำให้จดจำ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมจะถือว่านี่คือการสร้างความแตกต่างให้กับ brand ในสายตาผู้บริโภค ซึ่งคือข้อ 2 อยู่ดี เพราะ หากคนเห็นว่า Product 2 อย่างเหมือนกัน สิ่งที่ตามมาคือการเปรียบเทียบราคา ดังนั้น นี่คือจุดจบแรกของ branding ที่ไม่มีความแตกต่าง
แต่! ถ้าคุณคิดมาจาก Brand Positioning ที่แตกต่างอยู่แล้ว แล้วมาทำ Marketing ให้ถูกต้อง แค่นี้เองโฆษณาก็ไม่จำเป็นแล้วเพราะ Brand ถือว่าแตกต่างในสายตาผู้บริโภค และ brand ที่แตกต่างนี้เอง ก็ตามหาคนที่ใช่ ที่จะมาเป็นลูกค้านั้นเอง หรือคุณอาจลองดู User Persona หรือ Customer Journey ดูก็ได้ ว่าติดอะไรอยู่
🔎 และคุณอาจถาม Marketing ที่ถูกต้องคืออะไร?
คือการที่จำเป็นต้องเข้าใจว่า Product นี้มี Target คือใคร มี Positioning คืออะไร แตกต่างอย่างไร ง่ายๆเลยคือ แก้ปัญหาอะไรให้กับ target แล้วใส่ใจ 4P แต่ละอัน โดยที่สำคัญเลยที่อาจจะถูกมองข้ามไป ผมคิดว่าควรมองที่ Place ก่อน หรือ Distribution ว่าจะมีวิธีการเข้าถึงลูกค้ายังไง เพราะจะได้ทราบว่าลูกค้าเราอยู่ตรงไหนกันแน่ก่อน และมองย้อนกลับมา Product ว่าทำอะไร ก็ทำตาม Position ที่วาง ส่วน Price คือกลยุทธ์ราคาต่างๆ และ Promotion คือการส่งเสริมการขายทั้งหมด ตั้งแต่การใช้พนักงาน ไปจนถึงการแจ้งให้ทราบ รายละเอียด การสร้างประสบการณ์ที่ดี
สรุปแล้ว
⚠️ ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น โปรดอย่าเชื่อ
ผมคิดว่า ถ้าคุณจะทำงานโฆษณา หรือต้องการมีความรู้ทางโฆษณาจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องเรียน เพียงแค่คุณศึกษาหาความรู้การตลาดอยู่เสมอ ดูโฆษณาที่ผ่านตาเข้ามาแล้วลองคิดว่าเค้าทำแบบนั้นเพราะอะไร แล้วลองเริ่มทำโฆษณาตามที่คุณคิด ไม่มีถูกผิด คุณอาจทำได้ดีกว่าคนที่เรียนโฆษณามาโดยตรงก็ได้นะบอกเลย (ปัจจุบัน ใครๆก็เข้ามาทำงานสายโฆษณาได้หมดจริงๆ )
ผมจะให้หลักการคิดโฆษณาคร่าวๆ ลองเอาไปคิดเล่นๆดูก็ได้ ดังนี้
- ใครคือลูกค้าของสินค้าที่คุณกำลังจะทำโฆษณา
- ใครคือผู้รับสารโฆษณาที่คุณกำลังจะสื่อสาร แล้วเค้าคนนี้สำคัญกับลูกค้าของสินค้ายังไง (อาจเป็นคนเดียวกันก็ได้)
- เจ้าของสินค้ามีปัญหาอะไร หรือ หากคุณไม่ทราบ คุณต้องการให้ผู้รับสารนี้เข้าใจว่ายังไง/ทำอะไร
- จุดเด่นที่แตกต่างของสินค้านี้แล้วคู่แข่งไม่ได้เก่งเท่าคืออะไร
(Competitive Advantages)
- ผู้รับสารรับสารผ่านช่องทางไหนบ้าง ตั้งแต่ตื่นยันนอน
- คุณพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้น จาก เนื้อหาโฆษณา สื่อที่เลือกใช้ และวิธีที่จะส่งเนื้อหาโฆษณานี้ผ่านสื่อไปถึงผู้รับสาร โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดวิธี อาจใช้หลากหลายวิธีผสมผสาน หรือ หลุดออกจากกรอบที่เคยมีมาเลยก็ได้
ที่เหลือคือความคิดสร้างสรรค์ที่คุณจะใส่ลงไป และฝึกฝนสกิลที่คุณต้องการเพื่อให้มันได้ผลยิ่งขึ้น
สำคัญอย่าลืม Product ที่ดี + การตลาดที่ใช่ต้องมาก่อน โฆษณา is Optional
_
THE END